ตัวแปรสตริง (String)
ตัวแปร string หรือแถวตารางอาเรย์ของตัวหนังสือนั้น ภาษา C ไม่มีกลไกที่จะสนับสนุนได้โดยตรง ถ้าต้องการให้ภาษา C สามารถรองรับข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือแล้ว จะต้องมีการเตรียมพื้นที่หน่วยความจำให่เหมาะสมหรือการใช้สตริงค่าคงที่ (strong constant) ซึ่งจะทำให้โปรแกรมภาษา C เข้าถึงข้อมูลสตริงซึ่งจะเป็นทั้งข้อมูลที่เข้ามาในโปรแกรมและเปป็นข้อมูลที่ออกจากโปรแกรมได้
โดยทั่วไปแล้วโปรแกรมภาษา C จะสนับสนุนข้อมูลที่เป็นอักษรโดยกำหนดให้อักษรแต่ละตัว ในรูปแบบตัวแปรประเภท char และข้อมูลสตริงนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C จะถือว่าเป็นชุดข้อมูลตัวหนังสือที่เรียงกันตามลำดับ ขณะที่โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C++ จะถือว่าสตริงเป็นตารางอาเรย์ข้อมูลประเภทตัวหนังสือ (Array of char) โดยตัวหนังสือจะอยู่ในตารางแต่ละช่อง และ ณ ตำแหน่งสิ้นสุดของตารางอาเรย์ที่เก็บตัวแปรสตริงนั้นจะมีสัญลักษณ์ “{PBODY}” (ตัวสิ้นสุดสตริง หรือ ตัว NULL) บรรจุอยู่ ดังนั้น ในการเตรียมเนื้อที่สำหรับตัวแปรสตริงที่ประกอบด้วยตัวหนังสือ n ตัวนั้นจะต้องเตรียมตารางไดนามิกขนาด n+1 ช่องเสมอ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) ตัวหนังสือ ‘a’ เป็นตัวแปร char จะใช้เนื้อที่ 1 ไบต์ แต่ “a” เป็นตัวแปร string แล้ว จะต้องใช้เนื้อที่ขนาด 2 ไบต์เพื่อจุตัวอักษร ‘a’ และ ตัวสิ้นสุดสตริง ({PBODY})
2) ตัวแปรสตริงสามารถประกาศให้อยู่ในรูปตารางต่อไปนี้ได้
a. ตารางอาเรย์ตัวหนังสือ char String1[10] สามารถรองรับตัวหนังสือได้มากที่สุด 9 ตัว และ ตัวสิ้นสุดสตริง
b. ตัวแปรพอยเตอร์ตัวหนังสือ char *String2 สามารถรองนับตัวหนังสือได้ตามที่ผู้เขียนโปรแกรมได้เตรียมเนื้อที่ตารางไดนามิกส์ไว้
ถ้าต้องการทำอะไรกับตัวแปรสตริงแล้วให้เรียกใช้เฮดเดอร์ไฟล์ string.h ซึ่งเป็นไลบรารีไฟล์มาตรฐานสำหรับจัดการกับตัวแปรสตริง
เราสามารถตั้งค่าเริ่มต้นให้ตัวแปรสตริงได้ 2 วิธีหลักคือ
char S1[] = “Example”; ซึ่งภายในตัวแปรประกอบด้วย
S1 |E|x|a|m|p|l|e|{PBODY}|
ทั้งนี้เนื่องจากการเตรียมพื้นที่ขนาด 8 ช่องตาราง โดย 7 ช่องตารางแรกเก็บตัวหนังสือ และ ข้อมูลช่องสุดท้ายเก็บตัวสิ้นสุดสตริง
char S2[20] = “Another Example”; ซึ่งภายในตัวแปรประกอบด้วย
S2 |A|n|o|t|h|e|r| |E|x|a|m|p|l|e|{PBODY}||?|?|?|?|
ทั้งนี้เนื่องจากการเตรียมพื้นที่ขนาด 20 ช่องตาราง แต่ใช้จริง 16 ช่อง คือตัวหนังสือ 15 ช่องและ ช่องที่ 16 เก็บตัวสิ้นสุดสตริง
การตั้งต้นตัวแปรสตริง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ถือว่าเป็นการตั้งต้นตัวแปรสตริงที่ถูกต้อง
ดังนั้น สิ่งที่เกี่ยวข้องสตริงสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้
- ตัวแปรสตริงคือ ลำดับตัวหนังสือที่อยู่ภายในเครื่องหมายอัญประกาศ หรือเครื่องหมายคำพูด (“ ”) หรือ ตัวแปรสตริงคงที่ (String Constant)
- อีกทางหนึ่งตัวแปรสตริงถือว่าเป็นตัวแปรตารางอาเรย์ ของตัวหนังสือ (Array of char)
- สามารถใช้คำสั่ง printf scanf และ print ของภาษา C กับตัวแปรสตริงได้
- การประมวลเท็กซ์ คือการประมวลตัวแปรสตริง
- หน่วยข้อมูลพื้นฐานของตัวแปรสตริงคือตัวหนังสือหรือ ชุดตัวหนังสือ ไมใช่ตัวเลข
- การประยุกต์ใช้ตัวแปรสตริงนั้นคือ Word Processing หรือ Text Editor
ตัวอย่างการใช้ตัวแปรสตริงจะแสดงให้เห็นดังนี้
#include
void main()
{
char first[100], last[100];
int i;
printf("\nEnter your first name:");
scanf("%s", first );
printf("\nEnter your last name:");
scanf("%s", last );
printf("\nYour full name is: %s %s\n", first, last );
printf("First name is: ");
for( i=0; (i<100 && first[i] != '{PBODY}') ; i++ ){
printf("%c ",first[i]);
}
printf("\nLast name is: ");
for( i=0; (i<100 && last[i] != '{PBODY}') ; i++ ){
printf("%c ",last[i]);
}
printf("\n");
}
ผลที่ได้การเขียนโปรแกรมเติมชื่อและนามสกุลจะแสดงให้เห็นในภาพที่ 7.1
การใช้งานตัวแปรสตริงนั้นมีหลักการดังนี้
- เตรียมพื้นที่ตารางอาเรย์ให้ใหญ่พอรับตัวหนังสือแทนคำและ ตัวสิ้นสุดสตริงดังต่อไปนี้
char str1[6] = “Hello”;
char str2[] = “Hello”;
char *str3 = “Hello”;
char str4[6] = {‘H’,’e’,’l’,’l’,’o’,’{PBODY}’};
ตัวแปรสตริงแต่ละตัวถือว่าเป็นตัวแปรคงที่ ดังนั้นจึง Assign ค่าแทนกันเช่นตัวอย่างต่อไปนี้ไม่ได้
Str1 = Str2; // ห้ามทำเช่นนี้กับตัวแปรสตริง เพราะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น
ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็น วิธี Assign ตัวแปรสตริงโดยใช้ตัวแปรพอยเตอร์ เข้าช่วย
char *S1 = “Hello”, *S2 = “Goodbye”; // ตัวแปร S1 และ S2 แก่ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
char *S3;
S3 = S1; // บังคับให้ S3 ชี้ไปที่ แอดเดรสของตัวแปรพอยเตอร์ S1
S3 = S2; // บังคับให้ S3 ชี้ไปที่ แอดเดรสของตัวแปรพอยเตอร์ S2
อีกตัวอย่างในการ Assign ตัวแปรสตริงสามารถแสดงให้เห็นดังนี้
char Str[6] = “Hello”; // ตั้งต้นตัวแปร Str ด้วยคำว่า Hellow
char Str[0] = ‘Y’; char Str[4] = ‘{PBODY}’; // การแก้ไขให้ Str = “Yell”
อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลสตริงในตารางมีเงื่อนไขว่า
- ตารางอาเรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสตริงจะต้องปิดท้ายด้วย ‘{PBODY}’ เสมอ มิฉะนั้นตัวแปรอาเรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสตริงจะไม่มีจุดสิ้นสุดสตริง
- สตริงที่แก้ไขต้องมีขนาดน้อยกว่าขนาดของตารางอาเรย์ที่เก็บค่าสตริง
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวแปรสตริงโดยใช้ไดนามิกอาเรย์นั้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะตารางไดนามิกส์นั้นต้องเตรียมพื้นที่ให้ ตัวสิ้นสุดสตริง (NULL) มิฉะนั้นโปรแกรมจะพิมพ์ข้อมูลสตริงออกมาผิดไปจากที่ต้องการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
char *s;
- WRONG, need to allocate 1 more spaceßs = (char *)malloc(sizeof(char) * 0); //
strcpy(s, "linux");
printf("%s\n", s);
กรณีที่ใช้คำสั่ง strlen เพื่อหา ขนาดอาเรย์ก่อนทำ Dynamic allocation (malloc) นั้น พึงรับทราบว่า คำสั่ง strlen จะมีขนาดเพียงพอสำหรับตัวจำนวนอักษรที่ใช้ในตัวแปรสตริงเท่านั้น แต่ไม่ได้นับตัวแปร NULL ที่ใช้กำหนดจุดสิ้นสุดของสตริงด้วย โดยที่รายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่ง strlen จะกล่าวถึงในตอนต่อไป
การกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริง (String Assignment)
ตัวอย่างการกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริง
char s[5]="SIIT"; // ใช้ได้, กำหนดค่าตัวแปรสตริงให้ตัวแปรอาเรย์
char dept[5], *d=dept; // ใช้ได้, กำหนดค่าตัวแปรสตริงให้ตัวแปรพอยเตอร์
char name[20];
name = “C. Sinthanayothin"; // ผิด อย่ากำหนดตัวแปรสตริงให้ตัวแปรอาเรย์ด้วยวิธีนี้
strcpy(name,“C. Sinthanayothin"); // ใช้ได้, ให้ก๊อปปี้ค่าสตริงโดยใช้คำสั่ง strcpy
strcpy(dept,"IT"); // ใช้ได้, ก๊อปปี้ค่าสตริง ลงในตัวแปร dept
printf("%s %s %s\n",d,s,dept); // ใช้ได้, แสดงผลค่าสตริงด้ว printf
d = strcpy(s,"EE"); // ใช้ได้, นี่คือการคืนค่าตัวแปรสตริง ลงใน ตัวแปร d ด้วยคำสั่ง strcpy
printf("%s %s %s %s\n",name,d,s,dept);
char c1[30], c2[30]=“This is new c1 string”;
char s[30] = "c programming ";
char str1[30]; // วิธี้ทำให้ตัวแปร str1 ไม่เป็น l-value เพราะเป็น constant array
char *str; // วิธี้ทำให้ตัวแปร str เป็น l-value เพราะเป็น ตัวแปรพอยเตอร์
strcpy(c1, c2); // ใช้ได้, ก๊อปปี้ข้อมูลใน c2 ลงใน c1
str = strcat(s,"is great!!"); // ใช้ได้, คือค่าเป็น ตัวแปรพอยเตอร์ประเภท char
str1 = strcat(s,"is great!!"); // ผิด, ฟังก์ชัน strcat ตอ้งคืนค่าด้วยตัวแปรพอยเตอร์ประเภท char ไม่ใช่ตารางอาเรย์ประเภท char
ข้อควรจำคือ: ต้องเตรียมพื้นที่หน่วยความจำไว้ให้พร้อมก่อนการกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริงมิฉะนั้นอักษรบางตัวก็จะแหว่งหายไป
ตัวแปรสตริงนั้นจะใช้ %s เป็นตัว place holder ขณะที่ใช้คำสั่ง sscanf ในการอ่านข้อมูลจำพวกสตริงแล้วจัดการแปลงข้อมูลให้อยู่รูปตามที่กำหนด ดังตัวอย่างต่อไปนี้
int sscanf( const char *buffer, const char *format [, argument ] ... );
char ch, int inum, float fnum;
char buffer[100] = “A10 50.0”;
sscanf(buffer,”%c%d%f”,&ch,&inum,&fnum); /* puts ‘A’ in ch, 10 in inum and 50.0 in fnum */
sscanf(" 85 96.2 hello","%d%.3lf%s",&num,&val,word);
// results: num=85, val = 96.2, word = "hello"
ส่วน sprintf ใช้แสดงผลลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ ให้เป็นตัวแปรสตริงดังตัวอย่างต่อไปนี้
int sprintf( char *buffer, const char *format [, argument] ... );
char buffer[100];
sprintf(buffer,”%s, %s”,LastName,FirstName);
if (strlen(buffer) > 15)
printf(“Long name %s %s\n”,FirstName,LastName);
ถ้าต้องการแปลงตัวเลขให้เป็นข้อมูลสตริงให้ใช้ฟังก์ชัน sprintf และ ตัวแปรดัชนี้ char ทำตามคำสั่งต่อไปนี้
int sscanf(char *buffer, const char *format [, argument ] ... );
char S[10]; int day, month,year;
sprintf(S,”%d/%d/%d”, day, month, year);
ถ้า day = 23, month = 8, year = 2001 ผลลัพธ์คือ S = “23/8/2001”
ต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้ sprintf กับ sscanf เมื่อเปรียบเทียบกับ printf
#include
#include
int main()
{
char s[30]="85 96.2 hello";
int num, mon=8,day=23,year=2001;
double val;
char word[10]; // can we use: char *word;
// make sure your assign the proper address for pointer
sscanf(" 85 96.2 hello","%d%lf%s",&num,&val,word);
printf("num=%d val=%.3lf word=%s\n",num,val,word);
sprintf(s,"%d/%d/%d", mon, day, year);
printf("s = %s\n",s);
return 0;
}
ข้อทบทวน: ภาษาซี มีฟังก์ชันที่ใช้ดัดแปลงแก้ไขตัวแปรสตริง หลายแบบตามความต้องการของผู้ใช้ได้แก่:
strlen(str) – คำนวณความยาวสตริง ซึ่งจะมีการนับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบตัวแปร NULL ถึงจะหยุดโดยไม่มีการนับตัวแปร NULL ที่สิ้นสุดประโยคเข้าไปด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
int strlen(char *str);
char str1 = “hello”;
strlen(str1) จะคืนค่าออกเป็น 5 เพราะ มีอักษร 5 ตัว
strcpy(dst,src) – ก็อปปี้ข้อมูลจากตัวแปรสตริง src พร้อมตัวสิ้นสุดสตริง NULL ไปที่ตัวแปรสตริง dst แต่มีเงื่อนไขว่าตัวแปร des ต้องได้รับการเตรียมพื้นที่ให้ใหญ่พอๆกับตัวแปร src และการเตรียมพื้นที่ ให้ ตัวแปร src และ ตัวแปร dst ต้องไม่ทับซ้อนกันมิฉะนั้นจะให้ผลที่คาดเดาไม่ได้ การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcpy จะทำได้ดังนี้
char *strcpy(char *dst, char *src)
strncpy(dst,src,n) – ก็อปปี้ข้อมูลจากตัวแปรสตริง src โดยไม่ก๊อปปี้ตัวสิ้นสุดสตริง NULL ไปที่ตัวแปรสตริง dst เนื่องจากมีจำนวนตัวอักษร n เป็นตัวจำกัดไว้ แต่มีเงื่อนไขว่าตัวแปร des ต้องได้รับการเตรียมพื้นที่ให้ใหญ่พอๆกับตัวแปร src และการเตรียมพื้นที่ ให้ ตัวแปร src และ ตัวแปร dst ต้องไม่ทับซ้อนกันมิฉะนั้นจะให้ผลที่คาดเดาไม่ได้ การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncpy จะทำได้ดังนี้
char *strncpy(char *dst, char *src, int n)
strcmp(str1,str2) – เปรียบเทียบข้อมูลในตัวแปร str1 กับข้อมูลในตัวแปรสตริง str2 โดยใช้อักษรตัวแรกที่เริ่มต่างกันเป็นหลักซึ่งให้ผลดังนี้
น้อยกว่า 0 -- ถ้าค่า ASCII ที่เริ่มแตกต่างใน str1 มีขนาดเล็กกว่า str2 หรือ str1 เริ่มต้นเหมือนกับ str2 แต่ str2 นั้นมีตัวอักษรมากกว่า
มากกว่า 0 -- ถ้าค่า ASCII ที่เริ่มแตกต่างใน str1 มีขนาดใหญ่กว่า str2 หรือ str1 เริ่มต้นเหมือนกับ str2 แต่ str1 นั้นมีตัวอักษรมากกว่า
0 ถ้าตัวแปรสตริงทั้ง 2 ตัวนั้นใช้ตัวอักษรเดียวกันและความยาวเท่ากัน
การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcmp จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
int strcmp(char *str1, char *str2)
#include
#include
void main()
{
printf("%d \n", strcmp("hello","hello")); // returns 0
printf("%d \n", strcmp("yello","hello")); //returns value > 0
printf("%d \n", strcmp("Hello","hello")); // returns value < 0
printf("%d \n", strcmp("hello","hello there")); // returns value < 0
printf("%d \n", strcmp("some diff","some dift")); //returns value<0
}
strncmp(str1,str2,n) – เปรียบเทียบข้อมูลในตัวแปร str1 กับข้อมูลในตัวแปรสตริง str2 เป็นจำนวนอักษร n ตัวโดยใช้อักษรตัวแรกที่เริ่มต่างกันเป็นหลัก และ จะมีการเปรียบเทียบในกรณีที่อักษรในตัวแปรมีจำนวนน้อยกว่า n
การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncmp จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
int strncmp(char *str1, char *str2,int n)
ความแตกต่างระหว่าง strcmp และ strncmp จะแสดงให้เห็นดังตัวอย่างต่อไปนี้
strcmp(“some diff”,”some DIFF”)
-- returns value > 0
strncmp(“some diff”,”some DIFF”,4)
-- returns 0
strcat(str1,str2) – ใช้ในการนำข้อมูลในตัวแปร str2 ไปต่อท้ายตัวแปร str1 ซึ่งจะคืนค่าเป็น str1 ที่ได้รับการต่อให้ยาวขึ้น ตัวอย่างเช่น
char *s1 = “C. “, *s3 = strcat(s1,“Sinthanayothin”);
ผลลัพธ์: s1 = s3 = “C. Sinthanayothin”
การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcat จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
char* strcat(char *s1, const char* s2);
strncat(str1,str2,n) – ใช้ในการนำข้อมูลในตัวแปร str2 จำนวน n อักษรไปต่อท้ายตัวแปร str1 ซึ่งจะคืนค่าเป็น str1 ที่ได้รับการต่อให้ยาวขึ้น ตัวอย่างเช่น
char s1[10] = "IT ";
char *s3 = strncat(s1,"050Basic",3);
printf("%s \n", s1); printf("%s \n", s3);
ผลลัพธ์: s1 = s3 = IT 050
การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncat จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
char* strncat(char *s1, const char* s2ม int n);
ฟังก์ชันเหล่านี้มีอยู่ในไลบรารีเฮดเดอร์ไฟล์ string.h ซึ่งต้องใช้คำสั่ง #include ถึงจะเรียกใช้ได้
เราสามารถสร้างตารางอาเรย์ให้ตัวแปรสตริง (Array of string) ดังตัวอย่างต่อไปนี้
char month[12][10] = {“January”, “February”, “March”, “April”, “May”, “June”, “July”, “August”, “September”, “October”, “November”, “December” };
แต่ถ้าต้องการให้ตารางอาเรย์สำหรับตัวแปรสตริง สามารถรองรับข้อมูลสตริงที่มีความยาวต่างกัน (Ragged array of string) ให้ดังนี้
char *MonthNames[13]; /* an array of 13 strings */
MonthNames[1] = “January”; /* String with 8 chars */
MonthNames[2] = “February”; /* String with 9 chars */
MonthNames[3] = “March”; /* String with 6 chars */
…
ตัวอย่างตารางอาเรย์ให้ตัวแปรสตริงแสดงวันทั้ง 7 แบบ Ragged array of string จะแสดงให้เห็นในตัวอย่างต่อไปนี้
#include
#include
void main()
{
char *days[7]; char TheDay[10];int day;
days[0] = "Sunday"; days[1] = "Monday";
days[2] = "Tuesday"; days[3] = "Wednesday";
days[4] = "Thursday"; days[5] = "Friday";
days[6] = "Saturday";
printf("Please enter a day: ");
scanf("%9s",TheDay);
day = 0;
while ((day < 7) && (strcmp(TheDay,days[day])))
day++;
if (day < 7) printf("%s is day %d.\n",TheDay, day);
else printf("No day %s!\n",TheDay);
}
ในการรับและส่งข้อมูลจำพวกสตริงนั้นทำได้หลายวิธี ได้แก่
1) ในกรณีที่ใช้คำสั่ง printf และ scanf นั้นให้ใช้ %s ในการอ่านข้อมูลและ แสดงข้อมูลสตริงออกมา
2) ใช้คำสั่ง gets ในการข้อมูลสตริงออกมาทีละบรรทัด ดังตัวอย่างต่อไปนี้
char name1[10], name2[30];
scanf(“%s”,name1); // Input: IT 050
gets(name2); // Input: C Programming
printf(“Course is %s\n”,name); // Output: IT 050
printf(“Detail is %s\n”,name2); // C Programming
การใช้งานคำสั่งกับตัวแปร อักษร (char operators)
นี่คือตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชันที่คุมการรับส่งข้อมูลตัวอักษร
char ch;
ch = getchar(); // Input ch – ใช้แทน scanf("%c",&ch);
putchar(ch); // Output ch – ใช้แทน printf("Character is %c\n",ch);
ch = 'S'; // ใช้ได้ ตัวอย่างการกำหนดค่าตัวอักษรให้ตัวแปร char
putchar(ch); // ผลที่ได้ออกมาคือ S
putchar('T'); // ผลที่ได้ออกมาคือ T
ฟังก์ชันที่ใช้กำหนดการทำงานให้ตัวแปร char ได้แก่
คำสั่ง: isalpha(ch);
การใช้งาน: คืนค่าเป็น TRUE (จริง) ถ้า ch มีค่าในช่วง A-Z หรือ a-z
ตัวอย่าง: c = isalpha(ch); // คืนค่า TRUE ถ้า ch=‘M’ และ คืนค่า FALSE ถ้า ch=‘5’
คำสั่ง: isdigit(ch);
การใช้งาน: คืนค่าเป็น TRUE (จริง) ถ้า ch มีค่าในช่วง0-9
ตัวอย่าง: d = isdigit(ch); // คืนค่า FALSE ถ้า ch=‘M’ และคืนค่า TRUE ถ้า ch=‘5’
คำสั่ง: islower(ch);
การใช้งาน: คืนค่าเป็น TRUE (จริง) ถ้า ch มีค่าในช่วง a-z
ตัวอย่าง: c = islower(ch); // คืนค่า FALSE ถ้า ch=‘M’ return false, และคืนค่า TRUE ถ้า ch=‘m’
คำสั่ง: isupper(ch);
การใช้งาน: คืนค่าเป็น TRUE (จริง) ถ้า ch มีค่าในช่วง A-Z
ตัวอย่าง: c = isupper(ch); // คืนค่า TRUE ถ้า ch=‘M’ return false, และคืนค่า FALSE ถ้า ch=‘m’
คำสั่ง: isspace(ch);
การใช้งาน: คืนค่า TRUE ถ้า ch คิอช่องว่างขาว (space, newline, tab )
ตัวอย่าง: c = isspace(ch); // คืนค่า TRUE ถ้า ch = ‘\n’ คืนค่า FALSE ถ้า ch=‘m’
คำสั่ง: tolower(ch);
การใช้งาน: คืนค่าตัวพิมพ์เล็กจากค่าอักษรในตัวแปร ch ถ้าเป็นไปได้
ตัวอย่าง: c = tolower(ch); // คืนค่า ‘m’ ให้ c ถ้า ch=‘M’
คำสั่ง: toupper(ch);
การใช้งาน: คืนค่าตัวพิมพ์ใหญ่จากค่าอักษรในตัวแปร ch ถ้าเป็นไปได้
คำสั่ง: c = toupper(ch); // คืนค่า ‘M’ ให้ c ถ้า ch=‘m’
หน้าที่ 9 - โครงสร้างสตรักเจอร์
8. โครงสร้างสตรักเจอร์ (Structure)
สตรักเจอร์ เป็นวิธีการเก็บตัวแปรหลากชนิดให้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ทำให้สามารถแยกโปรแกรมออกเป็นหน่วย (Modular Programming) ซึ่งแก้ไขได้ง่ายเพราะสามารถแยกฟังก์ชันและตัวแปรออกเป็นหน่วยๆ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ในการสร้างฐานข้อมูลด้วย
การตั้งต้นสร้างสตรักเจอร์ สามารถทำได้หลายรูปแบบดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) การใช้ คำสั่ง struct สร้างตัวแปรชนิด student_a ผ่านตัวแปร student
struct student
{
char *first;
char *last;
char SSN[9];
float gpa;
char **classes;
};
struct student student_a;
2) การใช้ คำสั่ง struct สร้างตัวแปรชนิด student_a โดยตรง
struct
{
char *first;
char *last;
char SSN[10];
float gpa;
char **classes;
} student_a;
3) การใช้ คำสั่ง typedef struct เพื่อสร้างตัวแปรชนิด student_a ผ่านตัวแปร student
typedef struct
{
char *first;
char *last;
char SSN[9];
float gpa;
char **classes;
} student;
student student_a;
การกำหนดชนิดตัวแปร ทำได้โดยใช้คำสั่ง typedef ตามหลักการใช้งานดังนี้
typedef type name (typedef ชื่อของชนิดตัวแปร ชื่อที่ใช้เรียกชนิดตัวแปรจริง)
ตัวอย่าง:
typedef int INTEGER;
INTEGER x; /* x คือตัวแปรตระกูล INTEGER */
typedef char *STRING;
STRING sarray[10];
/* sarray คือตารางอาเรย์ ของ char* ซึ่งเทียบได้กับการประกาศว่า
char *sarray[10] */
ในโครงสร้างตัวแปรที่อยู่ในรูป structure นั้นประกอบด้วยตัวแปรที่เกี่ยวข้องในลักษณะเดียวกับตารางอาเรย์ แม้จะไม่ใช้ตัวแปรประเภทเดียวกัน โดยจะแบ่งตัวแปรออกเป็น field โดยที่กลุ่มตัวแปรใน structure จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยใหญ่หน่วยเดียวกันดังที่แสดงในภาพที่ 8.1 ส่วนการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ตารางอาเรย์และตัวแปร struct ที่มีตัวแปรที่เป็นตารางอาเรย์ จะแสดงให้เห็นในภาพที่ 8.2
การเรียกใช้งาน สตรักเจอร์
โดยปกติการสร้างสตรักเจอร์ ทำได้โดยใช้คำสั่ง typedef และ struct ซึ่งโครงสร้างภายในของสตรักเจอร์ จะประกอบด้วยตัวแปรต่างๆ ซึ่งแยกออกเป็น field ตัวแปรชนิดต่างๆ และในแต่ละ field จะมีการกำหนดพื้นที่หน่วยความจำ จนเพียงพอสำหรับแต่ละ field ดังตัวอย่างต่อไปนี้
typedef struct {
Type1 FieldName1;
Type2 FieldName2;
Type3 FieldName3;
/* as needed */
} VarName;
VarName คือชื่อชนิดตัวแปรสตรักเจอร์ทั้งหมด
นี่คือตัวอย่างการประกาศใช้ตัวแปร struct ชนิด student_t เพื่อบันทึกข้อมูลนักเรียน พร้อมตัวอย่างการกำหนดตัวแปร ชนิด student_t ซึ่งสามารถทำได้อย่างตัวแปรทั่วไป เช่นเดียวกับ int float
#define MAX_LEN 12 /* Length of name */
typedef struct {
char name[MAX_LEN];
int id;
float gpa;
char major[10];
} student_t;
student_t s;
student_t stu1, stu2, stu3;
การเข้าถึง ตัวแปร field ภายในตัวแปร struct ทำได้โดยการใช้ จุด (.)แล้วตามด้วยชื่อ field ดังตัวอย่างกรณีการเข้าถึงตัวแปร ชนิด DATE ที่จะแสดงให้เห็นดังต่อไปนี้ และผลที่ได้จะแสดงให้เห็นในภาพที่ 8.3
หลักการเข้าถึงตัวแปร struct: VarName.FieldName
typedef struct
{
int month, day, year;
} DATE;
void main() {
DATE d1;
d1.month = 12;
d1.day = 2;
d1.year = 1970;
}
TOP |